“คนจะรวย” vs “คนจะจน” มีวิธีคิดยังไงบ้างครับ?

เมื่อไม่นานมานี่..ได้บังเอิญเจอบทความ บทความหนึ่งเขาได้เขียนไว้ในแฟนเพจ

อ่านแล้วได้แนวคิดอะไรเพิ่มขึ้นหลายอย่างครับ กับหัวข้อที่ว่า..

“คนจะรวย คนจะจน มีวิธีคิดยังไงบ้างครับ?”

แล้วคุณละ คิดว่า คนจะรวย คนจะจน มีวิธีคิดต่างกันยังไงบ้างครับ?
—————-
ข้อความในกระทู้
—————
ที่เห็นๆ อยู่ทุกวันนี้นะครับ

คนรวย >> อะไรที่เป็นประโยชน์และต่อยอดได้ จะซื้อเลย เช่น

ความรู้ เขาจะจ้าง specialist มาสอนตัวต่อตัว ทันทีที่สงสัยต้องมีคำตอบ

อยากได้ความรู้อะไรเขาก็ยอมเสียเงินอบรมเลย อุปกรณ์อะไรที่ว่าดี ทันสมัย ก็ซื้อเลย

เพื่อให้งานไม่สะดุด เช่น คอม iphone ipad มีหมดครบทุกอย่าง อะไรที่ทำให้ชีวิต

สะดวกขึ้นเขาก็ซื้อเลย เขาจะไม่ยอมเสียเวลามาทำอะไรที่ไม่สำคัญ เช่น การจ้างคน

ใช้มาทำอาหาร เตรียมเสื้อผ้า งานบ้าน ฯลฯ เวลาที่ต้องการอะไร เขาจะทำเลย

เช่น สร้างโรงงาน คุยกันตอนเช้า กลางวันหาช่าง เช้าอีกวันก็สร้างเลย

นิสัยของนายจ้างผมจะเป็นแบบนี้เสมอเลยครับ และมีอีกหลายเรื่องเลยที่ผม

ไม่คิดว่าคนรวยเขาจะทำ เช่น การตื่นเช้า การกินอาหารข้างทาง ฯ

เรื่องการศึกษา เคยคิดว่าคนที่เรียนเอกชนแพงๆ คือคนที่ไม่เก่ง สอบรัฐบาลไม่ติด

ก็เลยจำเป็นต้องไปเรียนเอกชน … ซึ่งความเป็นจริงที่ผมเจอนั้น มันไม่ใช่เลย คนที่เรียนเอกชนแพงๆ

เก่งมาก ภาษาก็เก่งคิดว่าน่าจะพอได้ทุกคนเสียด้วยซ้ำ เพราะเขามีเงินที่จะลงทุนทางด้านการศึกษา

เช่น การจ้างมาสอนพิเศษที่บ้านฯ พ่อแม่เขาวางพื้นฐานมาให้ตั้งแต่เด้กแล้วฯ คนพวกนี้

เขาเก่งโดยที่ไม่ต้องพิสูจน์ตัวเองด้วยการเรียนในระบบรัฐบาล เพราะจบมาเขาก็

สานต่อธุรกิจครอบครับอยู่แล้ว (ความคิดผมเองนะ)
ขณะที่ คนจน >> ไม่มีเงินที่จะไปลงทุนในด้านที่จะทำให้ชีวิตดีขึ้น เช่น การศึกษา ฯลฯ

เวลาต้องการความรู้อะไรที่นอกเหนือจากที่ระบบการศึกษา ก็ไม่หาความรู้ต่อแล้วเพราะมองว่ามันแพง

ไม่มีเงิน อีกอย่างหลักสูตรนอกระบบมหาลัย แต่ละคอร์สก็แพงมากจริงๆ คนรวยก็เลยพัฒนาตัวเองได้เร็วกว่าคนจน ฯ
————–
ต่างกันมากครับ ผมเคยเจอกับตัวเคยทำงานกับเจ้าของโรงงานระดับยอดขาย 100 ล้าน มีอยู่วันหนึ่ง

เห็นพนักงานขับรถลากกระเป๋าเดินทางล้อหักถามว่าของใคร คนขับรถบอกว่าของนายให้เอาไปซ่อม

คนขับบอกว่าขนาดรองเท้าขาดนายยังสั่งเอาไปซ่อมเลย ตัดกลับมาที่น้องชายกับ ภรรยาน้องชาย

ต่างกับเคสเจ้าของโรงงานลิบลับ ไปกู้เงินคนอื่นมาเพื่อเปิดบริษัท ซื้ออาคารสำนักงาน ไหนจะค่าจ้างพนักงาน

บริษัทเพิ่งเปิดไม่ถึง 3 ปี ซื้อรถหรู แบรนด์ดัง ป้ายแดง ซื้อกระเป๋าแบรด์เนม ซื้อบ้านเดี่ยว น้องชายซื้อทอง 6 บาทใส่

นาฬิกาเรือนละเป็นแสน สุดท้ายบริษัทเจ๊ง หนี้ที่ยืมเค้ามาก็ไม่มีคืนจนโดนฟ้องทั้งอาญา ทั้งแพ่ง

ทัศนคติการดำรงชีวิตผมว่าสำคัญมากๆ บางเรื่องมันก็สอนกันไม่ได้ มันขึ้นอยู่กับการเลี้ยงดู

และประสบการณ์ของคนๆ นั้นที่หล่อหลอมให้เป็นตัวเราในวันนี้

คนจะรวย >>> แสวงหาโอกาสอย่างไม่หยุดยั้ง และเมื่อโอกาสมาถึงจะลงมือทำทันทีโดยไม่รีรอ
คนจะจน >>> เฝ้ารอแต่โอกาส ในขณะเดียวกันก็ลงมือทำเรื่องไม่เป็นเรื่องทั้งๆที่โอกาสยังมาไม่ถึง

มองให้เป็นโอกาสครับ แม้สิ่งที่อยู่ตรงหน้าจะเป็นปัญหา ต้องลองแก้ปัญหา คิด พอแก้ปัญหาได้แล้ว

เราจะมองเห็นโอกาสเสมอคนจนจะมองตรงกันข้าม มองทุกอย่างเป็นปัญหา แก้ไม่ได้ และไม่ลงมือทำอะไร

ทำให้ตัดโอกาสตัวเอง และไม่พัฒนาตัวเอง

“คนจะรวยส่วนใหญ่มักอวดตอนรวยแล้ว แต่คนจะจนมักอวดตอนยังจนอยู่”

“…ไม่ฟุ่มเฟือย เรียนรู้ พัฒนาตัวเอง ความรู้ไม่ได้มีแค่ในห้องเรียน ตามโลกให้ทัน

มองหาโอกาสไม่ดูถูกคน มองเข้าไปที่ความคิดทัศนะคติ ไม่ใช่มองที่หัวโขน..”

คนจะรวยพอได้เงินก้อนนึงมาจะหาทางเอาไปต่อยอดอีก แต่คนจะจนคิดว่าจะเอาไปซื้ออะไรที่อยากได้ดี

ใช่ครับ อาจจะยังไม่ได้รวยมาก แต่มีอิสระด้านเวลาที่น่าพอใจพอควรแล้ว สมัยก่อนไม่ค่อยมีเงินกลับอยากได้วัตถุต่างๆ

มากมายไปหมด ตามประสาคนไม่มีก็อยากได้ พอได้ทำธุรกิจส่วนตัว มีรายได้และผลตอบแทนจากการลงทุน

มองการเงินเปลี่ยนไป เข้าใจกลไกการเงินมากขึ้น จะซื้ออะไรคิดก่อนว่ามันเพิ่มมูลค่าได้ไหม จำเป็นจริงหรือไม่ ฯลฯ

ประสบการณ์การได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนทำให้มองการเข้าซื้อทรัพย์สินและวัตถุเปลี่ยนไปคับ

เป็นหนึ่งในเหตุการณ์วิธีคิดและทัศนคติที่เปลี่ยงแปลงไปตามเหตุปัจจัย

ที่มา : ไปให้ถึง 100ล้าน

Load More Related Articles
Load More By ขยำกระดาษ
Load More In ข้อคิดชีวิต
Comments are closed.

Check Also

นี่แหละคือสิ่งที่ศักดิ์สิทธิ์มากสำหรับลูกๆ บูชาพ่อแม่แล้วเจริญรุ่งเรือง

ช าย ผ้ า ถุ ง ของแม่ เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แม้ไม่ต้องปล … …